27 มิถุนายน 2563
81
บี.กริม-สกพอ.ลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ ลงทุนผลิตไฟฟ้า-น้ำเย็น 3.8 พันล้านบาท ป้อนอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ดึงจีน-เกาหลีใต้ร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าไฮบริด พ่วงระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ
การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมีความคืบหน้าเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก วานนี้ (26 มิ.ย.)
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพิธีลงนามครั้งนี้ ซึ่งผู้ร่วมลงนามประกอบด้วยนายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกพอ. นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการ และนางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2563 ถือเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ”
รวมทั้งเชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง และทำให้ 3 สนามบิน รองรับผู้โดยสารรวมกันได้ถึง 200 ล้านคนต่อปี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมทั้งเป็น “มหานครการบินภาคตะวันออก” ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
โครงการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น เป็นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก พร้อมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถรองรับการขยายตัวของผู้โดยสาร ธุรกิจการขนส่งสินค้า ธุรกิจอุตสาหกรรมการบิน ศูนย์กลางธุรกิจ E – Commerce และศูนย์เทคโนโลยีด้านอากาศยาน
กองทัพเรือในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกร่วมกับ สกพอ.ได้คัดเลือก บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เช่าที่ราชพัสดุ 100 ไร่ เพื่อดำเนินการ
ลงทุนโรงไฟฟ้าแบบไฮบริด
ด้านสาธารณูปโภค โครงการงานระบบไฟฟ้าและน้ำเย็น เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา โดยจะผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Power Plant) ระหว่างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) โดยใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (PV Solar Farm) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดตามแนวคิดหลักของอีอีซี ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 95 เมกะวัตต์
พร้อมด้วยระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ (Energy Storage System-ESS) ขนาด 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง และจัดหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมเมื่อสนามบินมีการพัฒนาสูงสุดและมีความต้องการพลังงานไฟฟ้ามากกว่า 95 เมกะวัตต์ และเสริมความมั่นคงด้วยการสำรองไฟฟ้า 100%
ทั้งนี้ความร้อนที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าได้นำมาเปลี่ยนเป็นระบบน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศสนามบิน ทำให้มีการใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Power Plant) เลือกใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าหรือมีราคาประหยัดเหมาะสม เพื่อพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพต่อเนื่อง มีพลังงานสำรอง ลดความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการภายในสนามบินอู่ตะเภาอย่างมีประสิทธิภาพ
หวังมีส่วนร่วมพัฒนา“อีอีซี”
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการ บี.กริม กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักของอีอีซี โดยสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งใหม่ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่ บี.กริม เป็นบริษัทเอกชนไทยมีส่วนร่วมริเริ่มการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่สำคัญให้ไทยมาตลอด 142 ปีแห่งการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา
บี.กริม เป็นผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้าง พัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้าที่ประสบความสำเร็จให้กับพื้นที่อุตสาหกรรมชั้นนำในเขตอีอีซีมาตลอด ตั้งแต่เริ่มการพัฒนาโรงไฟฟ้าเอกชนครั้งแรกในปี 2538 จึงเชื่อมั่นว่าจะใช้ความพร้อมและประสบการณ์พัฒนาโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ให้สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อเป็นการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพที่เพิ่มขึ้นต่อไปภายในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษแห่งนี้ได้อย่างมั่นคงตามที่ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพเรือ และ สกพอ.
“บี.กริม”ผนึกจีน-เกาหลีใต้
นอกจากนี้ บี.กริม ได้รับความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นจากพันธมิตรชั้นนำระดับโลก นำโดย China Energy Engineering Corporation หรือ Energy China ซึ่งเป็นบรรษัทรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ให้การสนับสนุนเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าไฮบริด
รวมทั้ง Korea Electric Power Corporation หรือ KEPCO บรรษัทรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากสาธารณรัฐเกาหลีให้การสนับสนุนเทคโนโลยีระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน - ESS และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ
พร้อมทั้งมี Siemens จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สนับสนุนเทคโนโลยี Gas & Steam Turbine ซึ่งทำให้เชื่อว่าจะสร้างระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่มั่นคงทันสมัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะเป็นรากฐานระบบสาธารณูปโภคหลักที่สำคัญต่อการสนับสนุนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกให้สำเร็จ
เปิดเชิงพาณิชย์ปี 2567
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันได้จัดเตรียมความพร้อมไว้แล้วทุกประการ เพื่อให้สามารถดำเนินงานตอบสนองต่อนโยบายการพัฒนาพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาได้ทันที โดยโรงไฟฟ้าแบบไฮบริดสำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกนี้ใช้งบลงทุน 3.8 พันล้านบาท จะพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อย่างสมบูรณ์ในปี 2567
รวมทั้งเป็นโรงไฟฟ้าไฮบริดแบบผสมผสานเทคโนโลยีทั้ง 3 ระบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่จะสามารถนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด มีประสิทธิภาพด้านการผลิตไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพมากที่สุด ทั้งยังปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน โรงไฟฟ้าแห่งนี้ ถือเป็นระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญ ที่จะสามารถสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคตให้กับสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ได้ตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
June 26, 2020 at 09:03PM
https://ift.tt/2YEUSXP
“บี.กริม”ทุ่ม3.8พันล้านบาท ลงทุนผลิตไฟฟ้าป้อนอู่ตะเภา - กรุงเทพธุรกิจ
https://ift.tt/2Wd4Qyj
Bagikan Berita Ini
0 Response to "“บี.กริม”ทุ่ม3.8พันล้านบาท ลงทุนผลิตไฟฟ้าป้อนอู่ตะเภา - กรุงเทพธุรกิจ"
Post a Comment